กฎหมายประกันรถยนต์ในประเทศไทยมีทั้ง กฎหมายภาคบังคับ และ กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับประกันภัยแบบสมัครใจ โดยมีรายละเอียดดังนี้

1. กฎหมายประกันรถยนต์ภาคบังคับ (พ.ร.บ. รถยนต์)
ตาม พระราชบัญญัติความคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ พ.ศ. 2535 (พ.ร.บ. รถยนต์) เจ้าของรถทุกคัน ต้องทำประกันภัยภาคบังคับ เพื่อคุ้มครองค่ารักษาพยาบาลผู้เสียหายจากอุบัติเหตุ
ความคุ้มครองของ พ.ร.บ. รถยนต์
- บุคคลภายนอก (ผู้เสียหายจากอุบัติเหตุ) ได้รับความคุ้มครอง ดังนี้
- ค่ารักษาพยาบาล สูงสุด 80,000 บาท/คน
- ค่าเสียหายในกรณีเสียชีวิตหรือทุพพลภาพ สูงสุด 800,000 บาท/คน
- ไม่คุ้มครอง
- ความเสียหายของรถยนต์หรือทรัพย์สิน
- ผู้ขับขี่หรือผู้โดยสารในรถคันที่เกิดเหตุ
บทลงโทษหากไม่มี พ.ร.บ.
- ปรับไม่เกิน 10,000 บาท (ตาม พ.ร.บ. รถยนต์ มาตรา 101)
- ไม่สามารถต่อภาษีรถยนต์ได้
ประวัติกฎหมายประกันรถยนต์ภาคบังคับ (พ.ร.บ.) ในประเทศไทย
ประเทศไทยเริ่มบังคับใช้ พระราชบัญญัติรถยนต์ พ.ศ. 2522 เพื่อกำหนดให้รถทุกคันต้องมีประกันภัยภาคบังคับ (พ.ร.บ.) ครอบคลุมความเสียหายต่อชีวิตและร่างกาย เนื่องจากอุบัติเหตุทางถนนเพิ่มสูงขึ้น โดยมีเป้าหมายหลักคือ ช่วยเหลือผู้เสียหายจากอุบัติเหตุให้ได้รับค่าชดเชยอย่างรวดเร็ว โดยไม่ต้องรอพิสูจน์ความผิด
ก่อนหน้านี้ ผู้ประสบเหตุต้องฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายผ่านศาล ทำให้กระบวนการล่าช้า การบังคับใช้พ.ร.บ. จึงช่วยลดปัญหานี้ และกระจายความรับผิดชอบไปยังบริษัทประกันภัย ปัจจุบัน พ.ร.บ. ยังมีการปรับปรุงเป็นระยะ เช่น เพิ่มวงเงินคุ้มครอง และขยายความคุ้มครองให้ผู้เสียหายในรถคู่กรณีด้วย
กฎหมายนี้ถือเป็นหนึ่งในมาตรการสำคัญเพื่อสร้างความปลอดภัยบนท้องถนนของไทยมาตลอดกว่า 40 ปี
2. กฎหมายประกันรถยนต์ภาคสมัครใจ (ประกันรถยนต์ชั้น 1, 2+, 3+)
ไม่มีกฎหมายบังคับ แต่หากมีการทำประกันภัยสมัครใจ กรมธรรม์จะอยู่ภายใต้ พระราชบัญญัติประกันภัย พ.ศ. 2535 และเงื่อนไขของบริษัทประกัน
ประเภทประกันรถยนต์สมัครใจ
ประเภท | ความคุ้มครอง |
---|---|
ชั้น 1 (เต็มรูปแบบ) | คุ้มครองทั้งรถตัวเองและรถคู่กรณี ทุกรูปแบบความเสียหาย (อุบัติเหตุ, ไฟไหม้, โจรกรรม, ภัยธรรมชาติ) |
ชั้น 2+ | คุ้มครองรถตัวเองเฉพาะอุบัติเหตุและไฟไหม้/โจรกรรม + คุ้มครองรถคู่กรณี |
ชั้น 3+ | คุ้มครองเฉพาะรถคู่กรณี (ไม่รวมรถตัวเอง) |
สิทธิและหน้าที่ของผู้เอาประกัน
- สิทธิ์
- เรียกร้องค่าสินไหมทดแทนตามกรมธรรม์
- ได้รับบริการช่วยเหลือฉุกเฉิน (เช่น ลากรถ, รถยนต์ทดแทน)
- หน้าที่
- แจ้งเหตุต่อบริษัทประกันภายในกำหนด (มักไม่เกิน 24-48 ชม.)
- ไม่ขับรถในขณะมึนเมาหรือฝ่าฝืนกฎหมายจราจร (อาจทำให้บริษัทปฏิเสธความคุ้มครอง)
ประวัติกฎหมายประกันรถยนต์ภาคสมัครใจในประเทศไทย
การประกันภัยรถยนต์ภาคสมัครใจในประเทศไทยพัฒนาควบคู่กับระบบประกันภัยสมัยใหม่ที่เริ่มต้นใน ช่วงทศวรรษ 2480 โดยบริษัทประกันภัยต่างชาติเป็นผู้บุกเบิก ต่อมาใน ปี 2490 รัฐบาลออก พระราชบัญญัติประกันวินาศภัย พ.ศ. 2490 เพื่อควบคุมมาตรฐานการประกันภัยทุกประเภท รวมถึงประกันรถยนต์ภาคสมัครใจ
ในช่วงแรก ประกันรถยนต์ภาคสมัครใจมีจำกัดเฉพาะรถยนต์นำเข้าและรถของบริษัทใหญ่ แต่เมื่อเศรษฐกิจขยายตัวและจำนวนรถเพิ่มขึ้นใน ทศวรรษ 2500-2510 บริษัทประกันภัยไทยเริ่มเสนอแผนประกันหลากหลายรูปแบบ เช่น ประกันชั้น 1, 2+, และ 3+ เพื่อตอบสนองความต้องการของเจ้าของรถ
หลังวิกฤตเศรษฐกิจ ปี 2540 คปภ. (สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย) ก่อตั้งขึ้นใน ปี 2550 เพื่อกำกับดูแลบริษัทประกันภัยให้มีมาตรฐานและความโปร่งใสมากขึ้น
ปัจจุบัน ประกันภาคสมัครใจเป็นที่นิยมเนื่องจากให้ความคุ้มครองกว้างกว่าพ.ร.บ. เช่น ค่ารถเสียหาย ความรับผิดต่อทรัพย์สินบุคคลที่สาม และการโจรกรรม ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงทางการเงินของผู้ขับขี่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
3. กฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง
3.1 พระราชบัญญัติการชดใช้ค่าเสียหายจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ พ.ศ. 2535
- กำหนดให้ ผู้ขับขี่ต้องรับผิดชอบค่าเสียหาย แก่ผู้ประสบภัย หากพิสูจน์ได้ว่ามีความผิด
3.2 ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ป.พ.พ.)
- มาตรา 420-437 กำหนดหลัก ความรับผิดทางละเมิด หากเกิดอุบัติเหตุจากความประมาท
3.3 กฎหมายภาษี
- เบี้ยประกันรถยนต์ สามารถนำไปลดหย่อนภาษีได้ (เฉพาะส่วนประกันสุขภาพหรืออุบัติเหตุส่วนบุคคลที่รวมอยู่ในกรมธรรม์)
สรุป
- พ.ร.บ. รถยนต์ เป็น ประกันภาคบังคับ ที่ต้องมีทุกคัน เพื่อคุ้มครองค่ารักษาพยาบาลผู้ประสบภัย
- ประกันสมัครใจ (ชั้น 1, 2+, 3+) เป็นทางเลือกเพิ่มความคุ้มครองรถและทรัพย์สิน
- หากเกิดอุบัติเหตุ ผู้ขับขี่อาจต้องรับผิดทั้งทางแพ่งและอาญา หากประมาท
หากมีข้อสงสัยเพิ่มเติม เช่น การเรียกร้องค่าสินไหมหรือเงื่อนไขกรมธรรม์ สามารถสอบถามบริษัทประกันภัยหรือตัวแทนขายประกัน
บทลงโทษเกี่ยวกับกฎหมายประกันรถยนต์
ในประเทศไทย การไม่ทำประกันภัยรถยนต์ตามที่กฎหมายกำหนด มีบทลงโทษดังนี้:
1. กฎหมายประกันรถยนต์ภาคบังคับ (พ.ร.บ.รถยนต์)
- บทลงโทษ: หากผู้ขับขี่ไม่มีกรมธรรม์ประกันภัยภาคบังคับ หรือแสดงกรมธรรม์ไม่ได้เมื่อเจ้าหน้าที่ตรวจสอบ จะมีความผิดตาม พระราชบัญญัติรถยนต์ พ.ศ. 2522 มาตรา 16
- ปรับตั้งแต่ 10,000 – 50,000 บาท (ตามมาตรา 140)
- อาจถูกยึดใบอนุญาตขับขี่ ชั่วคราวจนกว่าจะแสดงหลักฐานการทำประกัน
- ห้ามขับรถจนกว่าจะทำประกัน (เจ้าหน้าที่อาจสั่งห้ามใช้รถชั่วคราว)
2. กฎหมายประกันรถยนต์ภาคสมัครใจ (ประกันชั้น 1, 2+, 3+)
- ไม่มีบทลงโทษทางกฎหมายหากไม่ทำ เพราะเป็นประกันแบบสมัครใจ
- แต่หากเกิดอุบัติเหตุ ผู้ขับขี่ต้องรับผิดชอบค่าเสียหายทั้งหมดเอง
3. กรณีเกิดอุบัติเหตุโดยไม่มีพ.ร.บ.
- ผู้ขับขี่ต้องรับผิดชอบค่าเสียหายด้านชีวิต/ร่างกายต่อผู้เสียหาย โดยไม่มีผู้รับประกันมาชดใช้
- อาจถูกฟ้องร้องทางแพ่งหรืออาญาเพิ่มเติมหากเป็นคดีร้ายแรง
ข้อแนะนำ:
- พ.ร.บ.รถยนต์ เป็นกฎหมายบังคับ ควรต่ออายุก่อนหมดอายุทุกครั้ง
- หากไม่มั่นใจว่าประกันยังมีผลบังคับอยู่หรือไม่ สามารถตรวจสอบออนไลน์ผ่านเว็บไซต์ สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) หรือแอปพลิเคชัน “PVD” ของกรมการขนส่งทางบก
การทำประกันภัยไม่เพียงแต่หลีกเลี่ยงบทลงโทษ แต่ยังช่วยลดความเสี่ยงทางการเงินเมื่อเกิดอุบัติเหตุด้วยครับ 🚗💡
กระบวนการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนจากประกันรถยนต์
เมื่อเกิดอุบัติเหตุรถยนต์ ผู้เอาประกันสามารถเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนจากบริษัทประกันภัยได้ตามขั้นตอนต่อไปนี้:
1. แจ้งเหตุและเก็บหลักฐานทันที
- แจ้งตำรวจ: หากมีผู้บาดเจ็บ เสียชีวิต หรือความเสียหายรุนแรง ต้องแจ้งตำรวจเพื่อบันทึกประจำสถานี (ใบรับรองเหตุการณ์)
- ถ่ายรูปหลักฐาน: รูปรถเสียหาย, สภาพสถานที่เกิดเหตุ, ป้ายทะเบียนคู่กรณี, บาดแผล (ถ้ามี)
- เก็บข้อมูลคู่กรณี: ชื่อ-เบอร์โทร, เลขกรมธรรม์ประกันภัย (ถ้ามี)
2. แจ้งบริษัทประกันภัย
- โทรแจ้งบริษัทประกันภายใน 24–72 ชั่วโมง (ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขกรมธรรม์)
- เตรียมเอกสาร:
- สำเนาบัตรประชาชน + สำเนาใบขับขี่
- ใบแจ้งความ (ถ้ามี)
- ภาพถ่ายความเสียหาย
- กรมธรรม์ประกันภัย
3. ส่งรถตรวจประเมินความเสียหาย
- นำรถไปที่ อู่ซ่อมที่ประกันอนุมัติ หรือศูนย์บริการที่กำหนด
- เจ้าหน้าที่ประกันจะตรวจสอบและ ออกใบประมาณค่าเสียหาย
- หากไม่เห็นด้วยกับค่าประเมิน สามารถยื่นขอตรวจซ้ำหรือใช้ผู้ประเมินอิสระ
4. การพิจารณาเคลมและจ่ายค่าชดเชย
- กรณี ความรับผิดชอบชัดเจน: บริษัทประกันอาจจ่ายเงินภายใน 7–15 วันทำการ
- กรณี มีคู่กรณีหรือต้องสืบสวน: อาจใช้เวลา 30 วันขึ้นไป
- การจ่ายเงินอาจเป็นแบบ:
- โอนเข้าบัญชี
- จ่ายตรงให้อู่ซ่อม (กรณีซ่อมรถ)
5. กรณีเคลมถูกปฏิเสธ
หากบริษัทประกันปฏิเสธการจ่ายค่าสินไหมทดแทน ผู้เอาประกันสามารถ:
- ยื่นอุทธรณ์ พร้อมหลักฐานเพิ่มเติม
- ร้องเรียนผ่าน คปภ. (สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย)
- ฟ้องร้องทางศาล ในกรณีที่เห็นว่าการปฏิเสธไม่เป็นธรรม