
พรบ. คือ ประกันภาคบังคับ เพื่อคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ โดยจะคุ้มครองเฉพาะความเสียหายต่อชีวิต-ร่างกายหรืออนามัยของบุคคล โดยพรบ.จะคุ้มครองทุกคนทั้ง ผู้ขับขี่ ผู้โดยสาร และผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์นั้น
ทำไมรถทุกคันต้องมีพรบ.
1. เป็นกฎหมายบังคับ
- พ.ร.บ. เป็นประกันภัยภาคบังคับตามกฎหมาย (ตาม พ.ร.บ.คุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ พ.ศ. 2535)
- เจ้าของรถทุกคันต้องทำ ก่อนต่อภาษีรถประจำปี ไม่ว่าจะเป็นรถยนต์ รถจักรยานยนต์ หรือรถใช้งานเฉพาะด้านบางประเภท
2. ช่วยเหลือผู้บาดเจ็บจากอุบัติเหตุรถยนต์
- ไม่ว่าผู้ขับจะเป็นฝ่ายผิดหรือฝ่ายถูก
- พรบ.จะจ่ายค่ารักษาพยาบาลให้กับ ผู้ประสบภัยทุกคนในรถหรือบุคคลภายนอก ที่ได้รับบาดเจ็บ
รายการ | จำนวนเงิน (ประมาณ) |
---|---|
ค่ารักษาพยาบาลเบื้องต้น | ไม่เกิน 30,000 บาท/คน |
กรณีเสียชีวิต/ทุพพลภาพถาวร | 500,000 บาท/คน |
3. ลดภาระค่าใช้จ่ายให้เจ้าของรถ
- หากเกิดอุบัติเหตุ เจ้าของรถไม่ต้องควักเงินจ่ายค่ารักษาเบื้องต้นให้คู่กรณี เพราะ พรบ.จะดูแลแทน
- คุ้มครองแม้ไม่มีคู่กรณี (เช่น ขับชนต้นไม้แล้วบาดเจ็บเอง)
4. ต่อภาษีรถไม่ได้ถ้าไม่มี พรบ.
ต้องซื้อ พ.ร.บ. ก่อนทุกครั้งที่ต่อภาษีประจำปี ระบบของกรมการขนส่งทางบกไม่อนุญาตให้ต่อทะเบียนรถ ถ้าไม่มีใบรับรอง พ.ร.บ.
ต่อพรบ.ได้ล่วงหน้าไหม?
การต่ออายุประกันพรบ.จะซื้อล่วงหน้าได้ไม่เกิน 90 วัน
บทลงโทษตามกฎหมาย (มาตรา 9 และ 31 แห่ง พรบ. คุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ พ.ศ. 2535)
1. ปรับไม่เกิน 10,000 บาท
- เจ้าของรถที่ไม่มี พรบ. ถือว่าฝ่าฝืนกฎหมาย
- เจ้าหน้าที่สามารถออกใบสั่ง ปรับได้ทันที
2. ไม่สามารถต่อทะเบียนรถได้
- ขนส่งฯ จะไม่รับต่อภาษีประจำปี ถ้าไม่มี พ.ร.บ.แนบไปด้วย
- ส่งผลให้รถไม่มีป้ายวงกลม (ภาษีรถ) ซึ่งก็ผิดกฎหมายอีกข้อ
3. หากเกิดอุบัติเหตุ จะไม่มีการคุ้มครองหากไม่มีพรบ.
- ผู้บาดเจ็บจากอุบัติเหตุจะไม่ได้รับเงินค่ารักษาเบื้องต้นจาก พรบ.
- เจ้าของรถ ต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายเองทั้งหมด แม้ไม่ได้เป็นฝ่ายผิด
📌 ตัวอย่างผลกระทบจากไม่มี พรบ.
- รถจักรยานยนต์ล้มเอง ไม่มี พ.ร.บ. → ต้องจ่ายค่ารักษาเอง
- ชนคนเดินถนนแล้วบาดเจ็บ → ไม่มี พ.ร.บ. เจ้าของรถต้องออกเงินเองเต็ม ๆ
- ตำรวจเรียกตรวจ → ไม่มี พ.ร.บ. โดนปรับ + เสี่ยงโดนยึดรถ